10 เทรนด์คลาวด์มาแรงของปี 2024 ที่คุณต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้

31 ต.ค. 2566


การใช้จ่ายของธุรกิจต่าง ๆ บนโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ทั่วโลกคาดว่าจะสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปี 2024 ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการปรับใช้แพลตฟอร์มและบริการใหม่ ๆ ที่นำเอาความสามารถของ AI มาผสานและส่งมอบสู่ตลาด เนื่องจากในปี 2024 หลายธุรกิจกำลังมองหาโอกาสที่มากกว่าการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการย้ายระบบคลาวด์ กรณีการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ จึงถูกผลักดันด้วยแนวคิดของการปรับใช้นวัตกรรม เน้นความคล่องตัวและความสำเร็จมากขึ้น แต่ทว่ายังคงมีความท้าทายที่สำคัญซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูล โซลูชันไฮบริดคลาวด์และระบบคลาวด์แบบรวมศูนย์ จึงเข้ามามีบทบาทในการทลายอุปสรรคเหล่านั้น ระบบคลาวด์จะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมและโอกาสใหม่ ๆ ภายใต้เทรนด์ทั้ง 10 ด้าน ดังนี้

1. AI As-A-Service

ระบบคลาวด์มีบทบาทสำคัญในการทำให้ AI เข้าถึงคนทั่วไปได้ ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม พวกโมเดล AI เช่น โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่ขับเคลื่อนระบบอัจฉริยะอย่าง ChatGPT ที่ต้องทำงานบนข้อมูลจำนวนมหาศาล จำเป็นต้องใช้การประมวลผลประสิทธิภาพสูง แต่เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ไม่มีทรัพยากรที่จะทำสิ่งนี้ด้วยตนเอง จึงต้องเข้าถึงบริการ AI ผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI นี้ได้

2. Hybrid And Multi-Cloud

องค์กรขนาดใหญ่ที่มีกลยุทธ์มัลติคลาวด์ที่ใช้บริการคลาวด์จากผู้ให้บริการมากกว่าหนึ่งราย โดยแนวโน้มนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 76% เป็น 85% ในปี 2024 โดยกลยุทธ์นี้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนและความยืดหยุ่น แต่ก็นำมาซึ่งความซับซ้อนในการกำกับดูแลข้อมูลและการเชื่อมต่อกับระบบเดิม จึงทำให้มัลติคลาวด์และไฮบริดคลาวด์ที่ผสมผสานคลาวด์กับโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กรที่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ พยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยกับความยืดหยุ่น และเลือกใช้บริการที่ต้องการได้อย่างอิสระ

3. Real-Time Cloud Infrastructure

ในช่วงปี 2024 องค์กรต่าง ๆ จะต้องมองหาการใช้ประโยชน์จากข้อมูลแบบเรียลไทม์มากขึ้น เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกแบบนาทีต่อนาทีจากเดิมที่เคยวิเคราะห์ข้อมูลที่เคยจัดเก็บไว้เป็นเวลานานแล้ว ในขณะเดียวกันข้อมูลที่เราใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ จะมาในรูปแบบของข้อมูลสตรีม เช่น ภาพยนตร์และเพลงจาก Netflix และ Spotify ข้อมูลวิดีโอจากการโทรของ Zoom หรือ Teams และความบันเทิงแบบสตรีมรูปแบบใหม่ เช่น เกมบนคลาวด์ ซึ่งหมายความว่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่จัดลำดับความสำคัญในการเข้าถึงได้ทันที เช่น อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบ flash storage หรือ solid-state storage จะกลายเป็นที่ต้องการขององค์กรที่ใช้ระบบคลาวด์เพิ่มมากขึ้น

4. Cloud-Driven Innovation and Transformation

เช่นเดียวกับ AI ที่กล่าวถึงข้างต้น การประมวลผลด้วยคลาวด์ถูกนำมาสนับสนุนเทคโนโลยีและโซลูชันใหม่ ๆ ได้มากมาย เช่น Internet of Things (IoT), บล็อกเชน และการประมวลผลแบบควอนตัม ด้วยการขจัดความจำเป็นในการลงทุนโดยตรงในด้านสถาปัตยกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจต่าง ๆ จึงสามารถเริ่มต้นทดสอบโครงการได้รวดเร็ว การ win fast หรือ fail fast ทำให้องค์กรสามารถประเมินผลลัพธ์และประโยชน์ที่จะได้รับง่ายกว่าที่เคย

5. Cloud Security and Resilience

การเข้ารหัส การรับรองความถูกต้อง และการกู้คืนข้อมูลเป็น 3 ฟังก์ชันหลักของบริการคลาวด์ที่กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้น เมื่อเราเผชิญกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไปในปี 2024 การโจรกรรมและการละเมิดข้อมูลมีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากแฮกเกอร์พัฒนารูปแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI การโจมตี และระบบใด ๆ ก็ตามที่มนุษย์ต้องเข้าถึงได้ มักจะมีความเสี่ยงจากการโจมตีทางเสมอ ซึ่งหมายความว่าการรักษาความปลอดภัยและความยืดหยุ่นถือเป็นสิ่งสำคัญของผู้ให้บริการระบบคลาวด์และของผู้ใช้งานทั้งหมด

6. Sustainable Cloud Computing

ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ต่างมุ่งไปสู่การให้บริการด้วยเป้าหมาย net-zero ไม่ใช่แค่สำหรับการดำเนินงานของตนเองเท่านั้น แต่ยังเพื่อช่วยลูกค้าที่ใช้บริการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทาง Amazon ให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซให้เป็นศูนย์ภายในปี 2040 และ Microsoft ตั้งเป้าที่จะเอาชนะสิ่งนี้ให้ได้ภายใน 10 ปี ส่วนทาง Google ยังได้ระบุถึงความตั้งใจที่จะนำเอาพลังงานที่ใช้ในการดำเนินงาน 100 เปอร์เซ็นต์จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เป้าหมายเหล่านี้ผลักดันให้เกิดการประมวลผลบนคลาวด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นับเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองในปี 2024

7. Simplified Cloud Computing

ปัจจุบัน เครื่องมือแบบ low-code/no-code ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้น จากเดิมที่จำเป็นต้องอาศัย software engineer ที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ในทำนองเดียวกันผู้ให้บริการคลาวด์กำลังใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เฟซแบบ drag-and-drop และเครื่องมือ natural language เพื่อลดความต้องการทักษะขั้นสูงในการใช้งานและการจัดการระบบคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

8. Privacy in the Cloud

ความเป็นส่วนตัวบนระบบคลาวด์ส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของโซลูชันต่าง ๆ กฎเกณฑ์และกฎหมายถูกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากระบบคลาวด์และในขณะเดียวกันก็ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าข้อมูลของตนได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ เพราะธุรกิจที่ใช้บริการคลาวด์มักจะมีการรับส่งข้อมูลไปยังบุคคลที่สาม ดังนั้นผู้ให้บริการคลาวด์จึงหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการผลกระทบด้านความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นในปี 2024

9. Serverless and Pay-As-You-Go Cloud

Serverless เป็นรูปแบบหนึ่งของบริการคอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ที่ช่วยลดความจำเป็นสำหรับธุรกิจในการจัดการเซิร์ฟเวอร์ของตนเอง แม้ว่าบริการคลาวด์ทั่วไปอาจเรียกเก็บเงินจากธุรกิจตามจำนวนเซิร์ฟเวอร์ที่พวกเขาต้องการโฮสต์โครงสร้างพื้นฐานก็ตาม ภายใต้โมเดล serverless ผู้ใช้งานเพียงแค่จ่ายเงินสำหรับทรัพยากรคลาวด์ที่พวกเขาใช้โดยตรง ซึ่งสิ่งนี้ช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพของธุรกิจโดยตัดค่าใช้จ่ายสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้ใช้งาน และช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปใช้ในกิจกรรมที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้านอื่น ๆ มากขึ้น

10. Edge Computing Everywhere

Edge Computing เป็นการประมวลผลในตำแหน่งที่ใกล้กับจุดกำเนิดของข้อมูลที่รวบรวมมามากที่สุด ตัวอย่างอาจเป็นเครื่องตรวจวัดหัวใจแบบเรียลไทม์ที่สวมใส่ได้ซึ่งออกแบบมาเพื่อตรวจวัดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่ที่เก็บรวบรวมจะเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจปกติ เดิมทีการส่งข้อมูลทั้งหมดไปยังระบบคลาวด์เพื่อทำการวิเคราะห์และส่งกลับไปยังผู้ใช้เพื่อบอกว่าทุกอย่างปกติดีก่อให้เกิดการใช้งานแบนด์วิดธ์ที่สิ้นเปลือง ดังนั้นการวิเคราะห์ข้อมูลบนอุปกรณ์จะช่วยลดต้นทุน และยังหมายความว่าผู้ใช้สามารถได้รับการแจ้งเตือนได้เร็วขึ้นหากตรวจพบข้อมูลที่ผิดปกติ ซึ่งในปี 2024 จะมีโปรเซสเซอร์ที่มีขนาดเล็กลงและประหยัดพลังงานมากขึ้น รวมถึงมีอัลกอริธึมที่มีประสิทธิภาพด้านหน่วยความจำมากขึ้น และทำงานร่วมกับเครือข่ายประสิทธภาพสูง เช่น 5G ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนทำให้ Edge Computing สามารถทำงานได้มากขึ้นและรองรับแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้น


ที่มา: Forbes


ก่อนหน้า

ถัดไป